หน้าหลัก

เบาหวานขณะตั้งครรภ์

การตั้งครรภ์มีส่วนกระตุ้นให้ภาวะเบาหวานแสดงอาการได้มากขึ้นเนื่องจากฮอร์โมนในร่ากายที่มีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เกิดการดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลินที่ทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาล ให้การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายเสียสมดุลย์ไป รวมถึงพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียต่อหญิงตั้งครรภ์หลายประการ เช่น การเกิดภาวะความดันโลหิตสูงแทรกซ้อน ภาวะน้ำคร่ำมากเกินปกติภาวะแทรกซ้อนจากการคลอดบุตร เนื่องจากบุตรมีขนาดใหญ่กว่าเกณฑ์ทำให้คลอดยากหรือเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอด ดังนั้นการตรวจคัดกรองและวินิจฉัยโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ จึงสำคัญมากเพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาแต่เนิ่นๆ และสามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้อยุ่ในเกณฑ์ปกติตลอดการตั้งครรภ์ ลดภาวะแทรกซ้อนและเสียชีวิตของทารกในครรภ์

กลุ่มเสี่ยงต่อภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ได้แก่

  • ผู้ป่วยที่มีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคเบาหวาน
  • ผู้ป่วยที่มีประวัติคลอดเด็กน้ำหนักมาก
  • ผู้ป่วยที่มีประวัติคลอดเด็กเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน

ความเสี่ยงจากเบาหวานเมื่อตั้งครรภ์

ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะความดันโลหิตสูงและอัตราการผ่าตัดคลอดอาจเพิ่มขึ้น ภาวะทารกตัวโต (Macrosomia) หมายถึง ทารกที่มีน้ำหนักมากกว่า 4,000 กรัม เกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงในแม่ ซึ่งมักเกิดในครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ ทำให้น้ำตาลในทารกสูงด้วยไปกระตุ้นให้ตับอ่อนสร้างอินสุลินมากขึ้น

การคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์จะใช้แบบการตรวจ 2 ขั้นตอน

  1. เมื่อมาฝากครรภ์ครั้งแรกจะตรวจคัดกรองในกลุ่มที่มีความเสี่ยง เช่น BMI ≥ 25
  • มีประวัติครอบครัวใกล้ชิด (1st degree relative) เป็นเบาหวาน
  • เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ในครรภ์ก่อน
  • มีประวัติตรวจพบความผิดปกติของระดับน้ำตาล
  • ตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ
  • มีประวัติคลอดบุตรน้ำหนักมากกว่า 4,000 กรัม
  • มีประวัติทารกเสียชีวิตในครรภ์ หรือเสียชีวิตขณะคลอด
  1. เมื่ออายุครรภ์ 24 - 28 สัปดาห์ สตรีตั้งครรภ์ทุกรายได้รับการตรวจคัดกรองเบาหวานด้วยการกินน้ำตาล เพื่อตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือดก่อน และหลังการรับประทานน้ำตาลที่มีความเข้มข้น 50 กรัม เป็นเวลาครบ 1 ชั่วโมง โดยไม่ต้องงดน้ำและอาหาร หากผลตรวจผิดปกติ คือค่าน้ำตาลมากกว่า 140 มิลลิกรัมต่อเดชิลิตร (>140mg/dl) แพทย์จะนัดตรวจรับประทานน้ำตาลที่มีความเข้มข้น 100 กรัม เพื่อทดสอบความทนของน้ำตาล โดยจะต้องงดน้ำ และอาหารก่อนได้รับการตรวจอย่างน้อย 8 ชั่วโมง

นอกจากนี้สตรีตั้งครรภ์จะได้รับการเจาะเลือดทั้งหมด 4 ครั้ง

  • ครั้งที่ 1 ก่อนรับประทานน้ำตาล
  • ครั้งที่ 2 หลังจากรับประทานน้ำตาล 1 ชั่วโมง
  • ครั้งที่ 3 หลังจากรับประทานน้ำตาล 2 ชั่วโมง
  • ครั้งที่ 4 หลังจากรับประทานน้ำตาล 3 ชั่วโมง

หากพบความผิดปกติอย่างน้อย 2 ค่าขึ้นไป จะได้รับการส่งปรึกษาต่อกับแพทย์อายุรกรรมเฉพาะทางต่อมไร้ท่อ ต่อไป

ขอบคุณที่มาจากเพจ รพ. เปาโล