หน้าหลัก

กฏของแรงดึงดูด

กฎแห่งแรงดึงดูด (Law of Attraction) เป็นหลักปรัชญาที่ได้รับการพูดถึงตั้งแต่ปี 1887 โดยสอนว่า ความคิดในแง่ดีจะดึงดูดผลลัพธ์ในเชิงบวก ส่วนความคิดในแง่ลบจะดึงดูดผลลัพธ์ในเชิงลบเช่นเดียวกัน ความเชื่อดังกล่าวมีฐานคิดมาจากความเชื่อที่ว่า ความคิดเป็นเหมือนพลังงานรูปแบบหนึ่งที่สามารถดึงดูดสิ่งที่เหมือนกันได้ โดยพลังงานเชิงบวก (การคิดบวก) จะสามารถดึงดูดความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ของชีวิตได้ เช่น ด้านสุขภาพ ด้านการเงิน และด้านความสัมพันธ์

Law of Attraction จะประกอบไปด้วย 3 กฎเหล็ก ได้แก่

  1. เหมือนดึงดูดเหมือน (Like attracts like)

สิ่งที่เหมือนหรือคล้ายกันจะดึงดูดกันเอง ยกตัวอย่าง คนฉลาดจะดึงดูดคนฉลาดเหมือนกัน หรือ ความคิดในแง่ลบก็จะดึงดูดความล้มเหลวเข้ามาในชีวิตเช่นกัน ดังนั้น ถ้าเราอยากเจอคนที่ดี เราจึงต้องทำตัวเองให้ดีก่อน

  1. ธรรมชาติรังเกียจสูญญากาศ (Nature abhors a vacuum)

สมองของเรามีพื้นที่จำกัด แต่มักเสียพื้นที่ไปกับการคิดอะไรฟุ้งซ่านหรือการคิดถึงสิ่งที่ไม่จำเป็นอยู่เสมอ ดังนั้นการกำจัดไม่ดีออกจากชีวิตไป จะช่วยให้เรามีพื้นที่ทางความคิดให้สิ่งดีมากขึ้น

  1. ปัจจุบันสมบูรณ์แบบเสมอ (The present is always perfect)

ปัจจุบัน คือ เราสามารถพัฒนาปัจจุบันได้เสมอ แต่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตหรือรู้อนาคตล่วงหน้าได้ แม้ปัจจุบันจะไม่สมบูรณ์แบบ แม้มันจะทำให้เราเจอกับความผิดหวังหรือความล้มเหลวเราก็ควรโฟกัสที่การทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ดีกว่าจะไปรู้สึกเจ็บใจหรือเสียใจ กับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้จนไม่มีความสุข

**การนำ Law of Attraction ไปใช้ประยุกต์ใช้ **

ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน

เวลาจะเริ่มทำอะไรก็ตาม เราควรทำอย่างมีเป้าหมายที่ชัดเจน เราควรตอบได้ว่าตัวเองจะได้รับอะไรบ้างหลังจากที่บรรลุเป้าหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะการตั้งเป้าหมายที่กำกวม หรือ ไม่ชัดเจน อาจทำให้เราไม่รับรู้ถึงความคืบหน้า ส่งผลให้เราสูญเสียกำลังใจระหว่างการทำงาน และล้มเลิกเป้าหมายของตัวเองได้ง่ายกว่าเดิม

คิดถึงสิ่งดี ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในชีวิต

เมื่อเราคิดถึงแต่เรื่องบวก มันก็จะดึงดูดความรู้สึกบวกให้เข้ามาหาเราด้วย เช่น ความสุข ความเพลิดเพลิน หรือ ความสบายใจ ดังนั้น เราควรใช้เวลาสัก 10 นาที เพื่อนึกถึงสิ่งดี ๆ ที่เราอยากจะแสดงความขอบคุณใส่ เช่น พ่อแม่ที่ส่งเสียเลี้ยงดูเรามา หรือ เพื่อนร่วมงานที่คอยช่วยเหลือเรามาตลอด เป็นต้น

จินตนาการถึงอนาคต

ลองคิดดูว่าหลังจากที่เราทำภารกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเสร็จแล้ว ในตอนนั้นเราจะรู้สึกอย่างไรบ้าง เราอาจจะเกิดความรู้สึกสองแบบ คือ รู้สึกดีเพราะทำงานได้สำเร็จ และได้รับเสียงชื่นชมจากคนรอบข้าาง หรือ รู้สึกแย่ เพราะเห็นตัวเองทำงานได้ไม่ดี จนคนรอบข้างผิดหวัง เวลาที่เราคิดถึงผลลัพธ์ในแง่ดีเราควรเก็บมันไว้เป็นกำลังใจในการทำตามเป้าหมายของเรา และใช้มันเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนจุดโฟกัสจากการคิดถึงผลลัพธ์ในแง่ร้ายมาคิดถึงเรื่องในแง่บวกมากขึ้น

มองหาเรื่องดีท่ามกลางความเลวร้าย

เวลาที่เราเฟลกับเรื่องงานหรือความสัมพันธ์ แทนที่เราจะปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นแซดบอย เราควรมองหาข้อดีของประสบการณ์เหล่านั้น เช่น การอกหักอาจเป็นเหมือนบทเรียนที่ทำให้เราได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง และปรับปรุงวิธีการจีบให้ดีขึ้นกว่าเดิม เป็นต้น การเปลี่ยน mindset จะช่วยให้เรามีความสุข และมีแรงจูงใจในการพัฒนาตัวเองมากขึ้น