การหาวบ่อยๆ เกิดจากอะไร ?
การหาวบ่อยๆ คือ การหาวที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ มากกว่า 1 ครั้ง/นาที แม้ว่าสาเหตุส่วนใหญ่ของการหาวอาจมาจากความง่วง ความอ่อนเพลีย และความเบื่อหน่าย แต่ในบางครั้ง การหาวมากผิดปกติอาจเป็นผลมาจากการเจ็บป่วยด้วยโรคและภาวะที่ต้องการการรักษา เช่น มีปัญหาในการนอน เช่น ภาวะหยุดหายใจในขณะนอนหลับ หรือโรคลมหลับ ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการง่วงนอนมากผิดปกติ เนื่องจากไม่สามารถนอนหลับสนิทได้ ได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยา เช่น กลุ่มยารักษาโรคซึมเศร้า หรือกลุ่มยารักษาภาวะวิตกกังวล ซึ่งจะมีผลข้างเคียงเป็นอาการง่วงซึม นอนไม่หลับ ภาวะเลือดออกภายในหัวใจ หรือเนื้อเยื่อบริเวณหัวใจ
ส่วนภาวะอาการป่วยรุนแรงที่มีโอกาสพบได้น้อย แต่อาจทำให้เกิดอาการหาวบ่อย ๆ ได้แก่
- กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
- โรคลมชัก
- ตับทำงานล้มเหลว (ตับวาย)
- เนื้องอกในสมอง
- โรคปลอกประสาทอักเสบ
- ร่างกายขาดสมรรถภาพในการควบคุมอุณหภูมิภายในร่างกาย
- โรคหลอดเลือดสมอง
- แม้อาการหาวไม่ได้ก่อให้เกิดความเจ็บปวดใด ๆ แต่สามารถปรึกษาแพทย์หรือไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาได้ หากมีอาการหาวบ่อย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
การตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ เมื่อมีอาการหาวบ่อยจนเกินไป
เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์จะซักถามเกี่ยวกับอาการและความถี่ในการหาว พฤติกรรมการนอนว่าผู้ป่วยพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ สอบถามประวัติทางการแพทย์และการรักษา รวมทั้งอาจทำการตรวจร่างกายในเบื้องต้นด้วย หากแพทย์มีข้อสงสัยเพิ่มเติมถึงอาการป่วยที่เป็นสาเหตุ อาจส่งตรวจผู้ป่วยเพิ่มเติม เช่น
- ตรวจการนอนหลับ (Sleep Test หรือ Polysomnography) เพื่อตรวจหาความผิดปกติของการนอนหลับ เช่น ภาวะหยุดหายใจในขณะนอนหลับ หรือโรคลมหลับ โดยจะมีการตรวจวัดระดับออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ คลื่นไฟฟ้าสมอง การกลอกตา การขยับของหน้าอกและช่องท้อง เพื่อดูว่ามีความผิดปกติในระหว่างการนอนหลับอย่างไร
- ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalogram: EEG) เป็นการตรวจปฏิกิริยาและการทำงานของคลื่นไฟฟ้าในสมอง ใช้ตรวจในกรณีที่แพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยอาจเป็นโรคลมชัก หรือมีภาวะอาการป่วยอื่น ๆ ที่กระทบต่อการทำงานของสมอง
- ตรวจเลือด อาจใช้ตรวจเมื่อแพทย์มีข้อสงสัยถึงอาการชัก โรคลมชัก หรือภาวะอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับอาการหาวบ่อย ๆ โดยแพทย์อาจตรวจค่าความสมบูรณ์ของเลือด และตรวจหาระดับสารเคมีต่าง ๆ ในเลือดด้วย เพื่อตรวจหาสัญญาณการติดเชื้อ หรือตรวจการทำงานของตับและไต เป็นต้น
- การฉายภาพด้วยเครื่องสแกนสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI Scan) คล้ายกับการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ผู้ป่วยจะอยู่บนเตียงของเครื่องสแกน ปล่อยให้สนามแม่เหล็กวิ่งผ่านรอบตัวผู้ป่วย แล้วคอมพิวเตอร์จะสร้างภาพฉายอวัยวะภายในบริเวณที่ต้องการตรวจออกมา มักใช้ตรวจหาความผิดปกติในระบบต่าง ๆ เช่น โรคที่เกี่ยวข้องกับสมอง ไขสันหลัง และการทำงานของหัวใจ
อาการหาวบ่อยๆ ต้องรักษาให้หายหรือไม่ ?
อาการหาวไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาเหมือนอาการป่วยอื่น ๆ ทุกคนทุกเพศทุกวัยล้วนต้องหาว เช่นเดียวกันกับสัตว์มีกระดูกสันหลังส่วนใหญ่ เพราะการหาวเป็นกระบวนการหนึ่งของร่างกายที่เป็นไปตามธรรมชาติ
หากต้องเผชิญกับอาการหาวบ่อย ๆ จากความง่วง ความเมื่อยล้า และความเบื่อหน่าย ที่ไม่มีสาเหตุปัจจัยจากการเจ็บป่วยอื่น ๆ อาจบรรเทาอาการได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- นอนหลับให้เต็มที่ พักผ่อนอย่างเพียงพอกับเวลานอนที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและอายุ หากกำลังเจ็บป่วยด้วยอาการไข้หรือไข้หวัด ผู้ป่วยอาจต้องการการพักผ่อนยาวนานกว่าปกติ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวจากอาการป่วยได้เร็วขึ้น
- กำจัดอุปสรรคที่รบกวนการนอน ปิดเสียงและแสงที่อาจรบกวนการนอนได้ ไม่รับประทานอาหารก่อนเข้านอน ไม่ทำกิจกรรมอื่น ๆ บนเตียงก่อนเข้านอน เช่น ดูโทรทัศน์ หรืออ่านหนังสือ
- สำหรับผู้ป่วยที่เพิ่งฟื้นตัวจากอาการป่วย ควรเริ่มกลับมาทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันตามปกติ เพื่อไม่ให้อยู่ในภาวะเมื่อยล้าอ่อนเพลียนานจนเกินไป
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ตามโภชนาการในปริมาณที่เหมาะสม และไม่อดอาหาร โดยเฉพาะอาหารมื้อเช้า
- ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะขาดน้ำ
- ทำกิจกรรมนอกบ้านและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดอาการอ่อนเพลียเมื่อยล้า แต่ไม่ควรออกกำลังกายใกล้กับเวลาเข้านอนน้อยกว่า 4 ชั่วโมง เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาในการนอนได้
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาในกลุ่มที่เสี่ยงทำให้เกิดผลข้างเคียงเป็นอาการอ่อนเพลีย เมื่อยล้า หรือง่วงซึม หากจำเป็นต้องใช้ยา สามารถปรึกษากับแพทย์เกี่ยวกับวิธีการใช้ยาหรือการปรับยาได้
- งดหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน ไม่สูบบุหรี่ และไม่ใช้ยาเสพติด -หากเป็นอาการหาวบ่อยๆ ที่เกิดจากภาวะเจ็บป่วยอื่นๆผู้ป่วยควรเข้ารับการรักษาจากแพทย์โดยแพทย์ จะพิจารณารักษาตามอาการป่วยด้วยวิธีที่เหมาะสมต่อไป เช่น มีปัญหาในการนอน แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยปรับพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ เช่น เข้านอนให้เป็นเวลา ออกกำลังกายหรือหากิจกรรมผ่อนคลายความเครียด รวมทั้งอาจจ่ายยานอนหลับเพื่อช่วยรักษาบรรเทาอาการด้วย ผลข้างเคียงจากการใช้ยา แพทย์อาจแนะนำให้ลดปริมาณยารักษาที่ใช้อยู่ เปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่น หรือหยุดใช้ยาชนิดนั้น ทั้งนี้ ผู้ป่วยต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ และไม่ปรับยาหรือหยุดใช้ยาอย่างกะทันหันด้วยตนเอง