หน้าหลัก

การติดตั้งคาร์ซีทสำคัญอย่างไร

คาร์ซีท คือที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กเนื่องจากที่นั่งและเข็มขัดนิรภัยของรถไม่เหมาะกับสรีระของเด็ก คาร์ซีทจึงดีไซน์มาเพื่อปกป้องและป้องกันเด็กจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ช่วยลดความรุนแรงในการบาดเจ็บและกันไม่ให้เด็กเสียชีวิต คาร์ซีทสามารถเริ่มใช้ได้ตั้งแต่เป็นเด็กทารกจนถึงอายุ 12 ปี

ประเภทของ Car Seat การเลือกซื้อคาร์ซีทต้องคำนึงถึงอายุ ขนาดตัว และน้ำหนักของเด็ก โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

  1. Rearward Facing Seats (แบบหันหน้าเข้าหาเบาะ) คาร์ซีทประเภทนี้เหมาะกับเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี คาร์ซีทแบบนี้จะสามารถปกป้องศีรษะ คอ และกระดูกสันหลังของทารกได้ดีกว่าคาร์ซีทที่หันไปด้านหน้า และถ้าคุณอยากติดตั้งคาร์ซีทไว้ตรงที่นั่งข้างคนขับก็อย่าลืมปิดการทำงานของถุงลมนิรภัยเพื่อความปลอดภัยด้วย

  1. Forward Facing Seats (แบบหันหน้าออกจากเบาะ) คาร์ซีทประเภทนี้ออกแบบให้มีสายรัดจำกัดการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าของเด็กในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ และยังมาพร้อมกับสายรัดสำหรับการยึดที่นั่งไว้ด้วย คาร์ซีทประเภทนี้เหมาะกับเด็กช่วงอายุ 2-7 ปี

  1. Booster Seats เป็นคาร์ซีทสำหรับเด็กที่มีขนาดตัวโตเกินกว่าขนาดของคาร์ซีทธรรมดา แต่ยังไม่โตพอที่จะสามารถใช้เข็มขัดนิรภัยได้เต็มที่ คาร์ซีทประเภทนี้เหมาะกับเด็กช่วงอายุ 4-12 ปี สายคาดควรพาดผ่านกระดูกเชิงกราน หน้าอก และไหล่ของเด็ก ส่วนเข็มขัดคาดเอวควรพาดผ่านอุ้งเชิงกรานโดยให้เส้นทแยงมุมอยู่เหนือไหล่ไม่ใช่ที่คอ

วิธีติดตั้ง Car Seat

ประเภท Rearward Facing Seats สำหรับเด็กอายุไม่ถึง 1 ขวบ ควรติดตั้งคาร์ซีทแบบหันหน้าเข้าหาเบาะเสมอ ห้ามติดตั้งคาร์ซีทแบบหันหน้าเข้าหาเบาะตรงที่นั่งข้างคนขับที่มีถุงลมนิรภัยแบบไม่สามารถปิดใช้งานได้ จะสามารถติดตั้งคาร์ซีทประเภทนี้ตรงที่นั่งข้างคนขับได้ในกรณีที่มีการปิดการทำงานของถุงลมนิรภัยแล้วเท่านั้น ต้องใช้สายรัดแบบ 3 จุดหรือ 5 จุดสำหรับเด็อายุไม่ถึง 1 ขวบตามประเภทของเบาะรถยนต์

ประเภท Forward Facing Seats สำหรับคาร์ซีทที่หันหน้าออกจากเบาะควรติดตั้งตรงที่นั่งผู้โดยสารเบาะหลัง หากจำเป็นต้องติดคาร์ซีทสำหรับเด็กไว้ที่ด้านหน้า ให้ปรับเบาะรถยนต์ให้ห่างจากถุงลมนิรภัยให้มากที่สุด (ทำตามคู่มือการติดตั้ง) สำหรับเด็กน้ำหนัก 9 – 12 กก. ควรใช้สายรัดแบบ 5 จุด สำหรับเด็กน้ำหนัก 15 – 25 กก. ควรใช้สายรัดแบบ 5 จุด สำหรับเด็กน้ำหนัก 22 – 36 กก. ควรใช้สายรัดแบบ 3 จุด

วิธีเลือกซื้อ การเลือกซื้อคาร์ซีทควรคำนึงถึงหลายปัจจัยเพื่อให้คาร์ซีทสามารถป้องกันการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

  1. เลือกประเภทตามอายุ น้ำหนัก และขนาดตัวของเด็ก ตามที่ได้บอกไปข้างต้นว่าคาร์ซีทมีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่แบบหันหน้าเข้าหาเบาะ (สำหรับเด็กแรกเกิด – 2 ปี) แบบหันหน้าออกจากเบาะ (สำหรับเด็ก 2-7 ปี) และแบบบูสเตอร์ (สำหรับเด็ก 4-12 ปี) ดังนั้นจึงควรเลือกซื้อให้เหมาะสมและถูกประเภท

  2. เลือกแบบติดตั้งถาวรหรือแบบเคลื่อนย้ายได้ สิงที่ต้องตัดสินใจต่อมาคือการเลือกว่าจะซื้อคาร์ซีทแบบไหนดี การเลือกคาร์ซีทแบบติดตั้งถาวรเหมาะกับการใช้แบบระยะยาว ไม่ต้องถอดเข้าถอดออกและมีความปลอดภัยสูง แต่มีข้อเสียคือมักจะหมุนไม่ได้และมีราคาสูงกว่า ส่วนคาร์ซีทแบบเคลื่อนย้ายได้สามารถใช้งานได้อิสระกว่า นำไปใช้กับรถเข็นเด็กก็ได้ ก็แล้วแต่ว่าคุณตัดสินใจจะเลือกซื้อแบบไหน

  3. เลือกที่มีสัญลักษณ์มาตรฐานความปลอดภัยสากล ถ้าหากอยากได้ของที่มีคุณภาพก็ต้องเลือกซื้อของที่มีมาตรฐาน ยิ่งคาร์ซีทเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันอันตรายแล้วก็ต้องยิ่งให้ความสำคัญกับมาตรฐานเป็นพิเศษ โดยคุณสามารถเลือกซื้อคาร์ซีทที่มีมาตรฐานได้จากสัญลักษณ์ความปลอดภัย เช่น ECE R44/04 มาตรฐานของสหภาพยุโรปหรือ FMVSS 213 มาตรฐานประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำให้เลือกคาร์ซีทที่มีระบบติดตั้งมาตรฐาน UN หรือที่เรียกว่า ISOFIX อีกด้วย ISOFIX เป็นรูปแบบคาร์ซีทที่ยึดติดกับตัวรถได้อย่างปลอดภัยที่สุด มีลักษณะเป็นแกนเหล็กที่ติดตั้งมาจากโรงงาน สามารถเสียบยึดติดกับรถที่รองรับ ISOFIX ได้เลย (ติดตั้งคาร์ซีทแบบนี้ปลอดภัยกว่าแบบยึดติดโดยเข็มขัดนิรภัยเฉยๆ) แต่ก็ไม่ใช่รถทุกรุ่นที่รองรับระบบนี้ ดังนั้นควรตรวจสอบก่อนจะซื้อ

  1. เลือกที่เหมาะกับรถยนต์ นอกจากตัวเด็กแล้ว คาร์ซีทก็ต้องมีความเหมาะสมกับรถยนต์ด้วย โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเช็คอุปกรณ์ติดตั้ง เช็คว่าคาร์ซีทที่คุณต้องการออกแบบมาสำหรับเข็มขัดนิรภัยกี่จุด และรถของคุณสามารถติดตั้งได้ตามนั้นหรือไม่ ยิ่งถ้าเป็นคาร์ซีทมาตรฐาน ISOFIX ด้วยแล้วก็ต้องยิ่งเช็คว่ารถของคุณรองรับการติดตั้งแบบนั้นหรือไม่

ที่มาเพจ carsome