หน้าหลัก

ภาวะสูดสำลักขี้เทาในเด็กแรกเกิด

ภาวะสูดสำลักขี้เทาในทารกแรกเกิด (meconium aspiration syndrome; MAS) เป็นภาวะหายใจลำบากเนื่องจาก สำลักน้ำคร่ำที่มีขี้เทาปนเปื้อนเข้าไปในทางเดินหายใจ อาจเกิดตั้งแต่ในครรภ์ ขณะคลอด หรือทันทีหลังคลอด ซึ่งอาการและอาการแสดง ของโรคพบได้ตั้งแต่อาการทางระบบหายใจเล็กน้อยไปจนถึงอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจนถึงเสียชีวิตได้

ภาวะสูดสำลักขี้เทาในเด็กแรกเกิด

ภาวะการสูดสำลักขี้เทาพบมากน้อยเพียงใด

จริง ๆ แล้วในประเทศไทยเท่าที่ทราบยังไม่มีใครรวบรวมสถิติจริง ๆ จัง ๆ ต้องใช้สถิติของต่างประเทศมาอ้างอิง อุบัติการณ์ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะการสูดสำลักขี้เทา ทารกจะมีอุจจาระออกมาอยู่ในลำไส้ใหญ่ตั้งแต่แรก และลักษณะอุจจาระนี้ที่เรียกว่าขี้เทา ซึ่งจะมีส่วนประกอบหลายอย่างที่ทำให้มีลักษณะ มันเหนียวเขียวจนเกือบจะดำ เราจึงเรียกว่าเป็นขี้เทา ซึ่งจะมีตั้งแต่ไขของตัวเด็กเอง หรือเป็นขนอ่อน ๆ ของตัวเด็กเอง น้ำคร่ำ หรืออะไรที่ปนอยู่ด้วยกัน ถ้าเด็กอยู่ในครรภ์มารดา แล้วไม่มีปัญหาอะไรระหว่างตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่ก็จะไม่มีการถ่ายขี้เทาตัวนี้ออก หรือว่าเด็กบางคนหรือการตั้งครรภ์ของคนที่มีปัญหา ก็อาจจะทำให้เด็กถ่ายอุจจาระนี้ออกมาปะปนอยู่ในน้ำคร่ำ อุบัติการณ์ของน้ำคร่ำของคุณแม่มีขี้เทาปน พบได้ประมาณร้อยละ12-13 ในสถิติของต่างประเทศ และจากเด็กที่มีน้ำคร่ำนี้อยู่ในขณะที่ตั้งครรภ์พบได้ประมาณร้อยละ 5-10 ที่อาจจะมีภาวะสูดสำลักขี้เทานี้เข้าไป เพราะฉะนั้นอุบัติการณ์จริง ๆ มันคงดูไม่เยอะมาก เพียงแต่ว่าเราเปรียบเทียบกันว่าเรารู้ว่ามีการถ่ายขี้เทาออกมาในน้ำคร่ำ

สาเหตุของการเกิดภาวะสูดสำลักขี้เทาเกิดขึ้นได้อย่างไร

การที่เด็กทารกที่อยู่ในครรภ์ถ่ายขี้เทาออกมาก่อนกำหนด ส่วนใหญ่เกิดจากการที่มีการขาดเลือดไปเลี้ยงทารก อาจจะเกิดจาก สาเหตุของโรคประจำตัวของคุณแม่ หรือสาเหตุของตัวทารกเองหรือสาเหตุจากอะไรก็ตามที่ไปทำให้เลือดไปเลี้ยงทารกผ่านสายสะดือแม่น้อยลง แล้วก็จะมีปฏิกิริยาทางระบบประสาทกระตุ้นทำให้เด็กมีการถ่ายขี้เทาออกมา ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะนี้มีหลายสาเหตุ เช่น ในคุณแม่ที่อาจจะพบปัญหาจากการเจ็บป่วยบางอย่างที่มีผลกระทบไปยังการไหลเวียนของเลือดที่ไปที่ลูกก็จะไปกระตุ้นให้มีภาวะนี้เกิดขึ้นได้

อันตรายจากภาวะนี้มากน้อยเพียงใด

ปัญหาของคุณแม่ก็จะเป็นเรื่องการเจ็บป่วยของตัวเองมากกว่า แต่ว่าปัญหาของทารกที่มี การถ่ายขี้เทาออกมาแล้วส่วนใหญ่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตัวลูก จริง ๆ แล้วภาวะนี้พบได้น้อยในเด็กที่คลอดใกล้ครบกำหนดหรือเกินกำหนด เพราะฉะนั้น ผลที่กระทบส่วนหนึ่งที่เราทราบก็คือ เมื่อเด็กทารกมีอายุครรภ์มากขึ้น สภาพเลือด หลอดเลือดที่ไปเลี้ยง หรือแม้กระทั่งสภาพของรกของตัวแม่เองจะเสื่อมสภาพไปด้วย ซึ่งหมายถึงการเกินเวลา ตรงนี้เองที่จะเป็นปัญหาค่อนข้างมาก อันตรายที่เกิดกับทารกเองจริง ๆ จึงมากกว่า นั้นก็คือ มีผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ และระบบไหลเวียนเลือด เด็กจะมีอาการหายใจหอบ เหนื่อย หายใจไม่สะดวก คือจะมีลักษณะเหมือนปอดอักเสบ เพราะว่าตัวขี้เทานี้มีลักษณะเหนียวมาก ถ้าเด็กสูดสำลักเข้าไปแล้ว โอกาสที่จะไปอุดตันทางเดินหายใจ ถุงลมเล็ก ๆ หรือระดับที่ลึกลงไปเรื่อย ๆ ในปอด ก็ค่อนข้างจะอันตราย ซึ่งถ้าอุดเต็มที่อากาศไม่ผ่านเลย ปอดส่วนนั้นก็จะมีปัญหาการแลกเปลี่ยนก๊าซ แต่ในบางส่วนที่อาจจะอุดไม่เต็ม 100% คือ อากาศจะผ่านเข้าได้ แต่มักจะออกไม่ได้ ก็เหมือนกับว่าทำให้มีปอดโป่งพองออก เช่น ปอดบางส่วนอาจมีส่วนแฟบบ้าง บางส่วนโป่งพองบ้าง หลังจากนั้นก็จะมีการอักเสบของเนื้อเยื่อโดยรอบ ซึ่งมีผลทำให้เด็กหายใจหอบหลังคลอด ถ้าเป็นมาก ๆ บางครั้งก็จะทำให้เด็กขาดออกซิเจน แล้วก็จะไปกระทบต่อการไหลเวียนเลือดไปอีกต่อหนึ่ง

มีวิธีการรักษาอย่างไร

เริ่มตั้งแต่เราทราบว่าทารกคนนี้มีการถ่ายขี้เทาออกมา เช่น มีน้ำเดินและทราบตำแหน่ง หรือทราบในระหว่างที่ทำการคลอด สูติแพทย์จะมีการช่วยเหลือให้สภาพของคุณแม่ดีขึ้น ตั้งแต่ระยะที่การคลอด เริ่มให้ออกซิเจนเมื่อเด็กจะคลอดออกมาโดยสมบูรณ์ทั้งตัวแพทย์จะทำการดูดน้ำคร่ำที่ปนเปื้อนขี้เทา ที่อาจจะค้างอยู่ในช่องปากของเด็กหรือลำคอของเด็กออกมาด้วยลูกยางหรือสายยาง ก่อนที่เด็กคลอดตัวออกมาชัดเจน เพื่อ ไม่ให้เด็กสูดสำลักมากขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ภาวะนี้รุนแรงขึ้น เมื่อเด็กคลอดออกมาชัดเจน เพื่อไม่ให้เด็กสูดสำลักเข้ามามากขึ้น เมื่อเด็กคลอดออกมาแล้ว แพทย์จะประเมินสภาพเด็กว่า มีอาการของภาวะสูดสำลักขี้เทาหรือไม่ เช่น เด็กอาจจะมีอาการหายใจผิดปกติ หายใจหอบเหนื่อย ก็จะถ่ายภาพเอกซ์เรย์หรือถ่ายภาพรังสีปอดเพื่อให้การรักษาต่อไป

ระยะเวลาในการรักษา

หากอาการไม่รุนแรง คือมีอาการหายใจลำบากแต่อาการดีขึ้นเมื่อเราให้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น โดยที่เด็กอาจจะไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ก็ประมาณ 7-10 วัน เพราะบางครั้งแพทย์อาจจะต้องมีการประเมินว่าทำไมจึงมีอาการสูดสำลัก เพราะอาจจะมีอาการติดเชื้อแอบแฝงอยู่ ควรจะต้องให้ยาปฏิชีวนะด้วย แต่ในอีกกลุ่ม ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่รุนแรงมากขึ้น ในกลุ่มนี้เมื่อภาวะตัวขี้เทาไปอุดกั้นทำอันตรายมากขึ้น เด็กก็อาจจะไม่สามารถหายใจด้วยตนเองได้เพียงพอ ในกลุ่มนี้จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งมักจะต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเรียกว่า ต้องอยู่ในหออภิบาลของทารกแรกเกิด เพื่อมีการดูแลอย่างใกล้ชิดมาก ๆ ตรงนี้จะขึ้นอยู่กับภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจจะตามมา หรือถ้าเกิดมีภาวะแทรกซ้อนของระบบไหลเวียนเลือดค่อนข้างมาก บางครั้งอาจจะต้องใช้เวลานานในการรักษา ซึ่งอาจจะเกินสัปดาห์ขึ้นไป

ผลแทรกซ้อนที่จะตามมาภายหลัง

ผลแทรกซ้อนต่าง ๆ จะอยู่กับสาเหตุว่าทำไมเด็กมีอาการถ่ายขี้เทา ยกตัวอย่างเช่น แพทย์ไม่ทราบอะไรเลยว่าทำไมเด็กต้องถ่ายขี้เทาออกมา เราอาจจะประเมินคร่าว ๆ จากสภาพเด็กที่ออกมาในครั้งแรกว่าเด็กขาดออกซิเจนมากน้อยเพียงใด ถ้าขาดออกซิเจนมาก แพทย์จำเป็นต้องบอกให้คุณพ่อ คุณแม่ว่าโอกาสที่จะมีภาวะแทรกซ้อนระยะยาว ก็คงมีบ้าง เช่น สติปัญญา คงต้องติดตามเป็นระยะ ๆ ในรายที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจร่วมด้วย ต้องขึ้นอยู่กับความรุนแรงและจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจค่อนข้างสูง ก็อาจจะมีผลแทรกซ้อนต่อระบบการทำงานของการหายใจ คือสมรรถภาพของปอดที่ต่อเนื่องมาได้เหมือนกัน

ภาวะสำลักขี้เทาสามารถป้องกันได้หรือไม่

สิ่งสำคัญที่สุดที่อยากจะแนะนำก็คือ คุณแม่ควรมาตรวจครรภ์แต่เนิ่น ๆ เพื่อให้สูติแพทย์ได้ดูแลตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ถ้ามีปัญหาหรือมีอาการผิดปกติอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ จะได้มีการวางแผนล่วงหน้าและอาจจะมีการช่วยเหลือเพื่อลดความรุนแรงให้น้อยลง เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การฝากครรภ์และมาตรวจครรภ์อย่างสม่ำเสมอ ถ้าคุณแม่มีการฝากครรภ์และมีการดูแลสุขภาพครรภ์ที่ดี ถ้าสมมุติว่าเด็กมีปัญหาอะไร สูติแพทย์และกุมารแพทย์ก็จะช่วยดูแลอย่างเต็มความสามารถ เพื่อจะป้องกันทารกที่เกิดออกมามีปัญหาเรื่องผลแทรกซ้อนตามมาได้